หยุดติดจอ สร้างสมดุลให้ลูก: ใช้หน้าจออย่างฉลาดในยุคดิจิทัล
หยุดติดจอ สร้างสมดุลให้ลูก: ใช้หน้าจออย่างฉลาดในยุคดิจิทัล
ในโลกปัจจุบัน “หน้าจอ” กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเพื่อการเรียน ความบันเทิง และการติดต่อกับคนรอบข้าง แม้เทคโนโลยีจะมีข้อดีมากมาย แต่การใช้หน้าจออย่างไม่เหมาะสมอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคมโดยเฉพาะในเด็กวัยเรียน
ผลกระทบจากการใช้หน้าจอมากเกินไปในเด็ก
1. ส่งผลเสียทางด้านสายตา และมีปัญหาการนอน เนื่องจากแสงสีฟ้าจากเครื่องมือสื่อสาร ส่งผลต่อการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้นอนไม่หลับ
2. ขาดสมาธิและทักษะสื่อสาร ทำให้ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
3. ส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง และเสี่ยงโรคอ้วนในเด็ก มักเกิดอาการ เช่น ปวดคอ บ่าไหล่ แขน นิ้วล็อค
4. มีปัญหาด้านอารมณ์ เพราะไม่ค่อยเข้าสังคม อาจก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า ก้าวร้าว หรือเลียนแบบความรุนแรง
สัญญาณที่บ่งบอกว่า “ลูกกำลังติดจอ”
ไม่สนใจหรือเลิกทำกิจกรรมที่เคยชอบ ไม่สนใจในหนังสือ ของเล่น หรือบทสนทนา
ไม่สนใจเรียน และกิจวัตรประจำวันอื่นๆ รวมถึงละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง
ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอนานๆ หลายชั่วโมงต่อวัน และมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ
แสดงอาการก้าวร้าว หงุดหงิด โมโหรุนแรง และต่อต้านในหลายเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่ตอนเล่นมือถือ แต่มักจะเป็นในชีวิตประจำวันด้วย
วิธีลดการติดจออย่างค่อยเป็นค่อยไป
1. เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก
ยิ่งเป็นเด็กช่วงปฐมวัยหรืออายุไม่เกิน 5 - 6 ปี เป็นวัยที่กำลังเรียนรู้และซึมซับสิ่งรอบข้าง คุณพ่อคุณแม่ควรเป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูกก่อน โดยพยายามเลี่ยงการใช้มือถือ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ที่มีจอต่อหน้าลูก เพราะอาจทำให้ลูกสับสนว่าทำไมถูกห้าม แล้วทำไมพ่อแม่ถึงเล่นได้
2. กำหนดเวลาใช้อย่างชัดเจน
ระยะเวลาเหมาะสมที่เด็กจะใช้มือถือหรือแท็บเล็ต เล่นเกม ดูกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเรียนจะแบ่งตามช่วงอายุ คือ อายุ 2 - 5 ปี ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน วันหยุดอาจเพิ่มเวลาให้ลูกได้เล่นไม่เกิน 2 ชั่วโมง
เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป สามารถปรับเวลาให้มากขึ้นกว่านั้นได้ หรือไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และวันหยุดก็อาจเพิ่มเวลาให้ลูกเล่นได้มากขึ้นอีกหน่อย เพราะเป็นช่วงวัยที่เริ่มค้นหาตัวเอง มีการเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจมากขึ้น
นอกจากนี้ การใช้อินเทอร์เน็ตควรให้เด็กใช้ได้เมื่ออายุมากกว่า 6 ปี และใช้ Social media ได้ตอนอายุ 13 ปีขึ้นไป
3. สร้างกิจกรรมทดแทนที่สนุก
คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกวาดภาพ เล่านิทาน ทำอาหาร เล่นเกมกระดาน หรือออกกำลังกาย โดยใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวให้มากขึ้น
4. จัดพื้นที่ใช้หน้าจอในพื้นที่เปิด
ไม่ให้ลูกใช้จอในห้องนอน ให้ใช้จอในบริเวณที่ผู้ปกครองมองเห็นได้ เช่น ห้องนั่งเล่น เพื่อช่วยดูแลเนื้อหาที่ลูกเข้าถึง
ใช้หน้าจอให้เป็น “พื้นที่เรียนรู้” อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้หน้าจอไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงทั้งหมด หากใช้อย่างเหมาะสมและสามารถควบคุมการใช้งานได้ ก็สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้เช่นกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้โดย
เลือกเนื้อหาที่ส่งเสริมพัฒนาการและมีคุณภาพตามช่วงวัย เช่น สารคดีเด็ก เกมพัฒนาทักษะ หรือแอปการเรียนรู้ที่ออกแบบมาสำหรับเด็ก
เรียนรู้ไปพร้อมกัน แล้วพูดคุยถามตอบหลังดูจบ เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ให้ลูก
ในยุคที่หน้าจอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การห้ามลูกจากเทคโนโลยีอย่างสุดโต่งอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ “การใช้เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน” ต่างหากที่สำคัญ
เมื่อคุณพ่อคุณแม่ใส่ใจและร่วมกำหนดขอบเขตอย่างเข้าใจ เด็กจะเติบโตอย่างสมดุลทั้งในโลกจริงและโลกออนไลน์ พร้อมเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
ด้วยความห่วงใย จาก Kiddy Balm